วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556


บทความเพื่อการเรียนรู้เรื่อง ปุ๋ยเคมีธาตุอาหารรอง - เสริม(ปุ๋ย+ฮอร์โมน)

ธาตุอาหารคืออะไร
คนเรากินสัตว์และพืชเป็นอาหาร พืชกินแร่ธาตุเป็นอาหาร อาหารของพืช เรียกว่า ธาตุอาหารพืช
ธาตุอาหารพืช มีอะไรบ้าง
ธาตุอาหารที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชมี ทั้งหมด 16 ธาตุอาหาร 3ธาตุอาหารได้มาจากน้ำและอากาศ คือ ไฮโดรเจน ออกซิเจน คาร์บอน ส่วนที่เหลืออีก 13 ธาตุอาหาร จะมีอยู่ในดิน และในดินมัก จะขาดธาตุอาหาร เหล่านี้
ธาตุอาหารหลัก
1.ไนโตรเจน ( N ) 2. ฟอสฟอรัส ( P ) 3. โปรแตสเซียม ( K )
ธาตุอาหารรอง
1. แคลเซียม 2. แมกนีเซียม 3. กำมะถัน
ธาตุอาหารเสริม
1. เหล็ก 2.ทองแดง 3. สังกะสี 4.แมงกานีส 5.โบรอน 6.โมลิบดีนั่ม 7. คลอรีน
ปัจจุบันธาตุอาหารทั้ง 13 ธาตุ ที่มีอยู่ในดินมีปริมาณลดลงไปมากแล้ว เกษตรกร จำเป็นต้องหาธาตุอาหารเหล่านี้ เติมให้กับดิน แต่ที่ผ่านมาเกษตรกรใช้แต่ปุ๋ยเคมีที่มีเฉพาะ NPK ซึ่งมีธาตุอาหารไม่เพียงพอ ต่อการเจริญเติบโต ของพืช เมื่อพืชขาดธาตุอาหารก็แสดง อาการผิดปกติออกมาให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นโรคใบไหม้ ใบติด ต้นแคระแกรน ผลบิดๆ เบี้ยวๆ ไม่สมบูรณ์ ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่เข้าใจผิด หรือหาสาเหตุไม่เจอว่าเกิดจากอะไร เลยหันไปพึ่ง สารเคมีต่าง ๆ ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ พอสารเคมีหมดฤทธิ์พืชก็แสดงอาการผิดปกติออกมาอีก เลยแก้ไข ไม่ได้เสียที นอกจากนี้การใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีต่าง ๆ จะส่งผลให้ดิน เกิดการตึงตัวหรือ ดินเป็นกรด เมื่อดินเป็นกรดทำให้ปุ๋ยที่เกษตรกรใส่ลงไปในดิน พืชไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ทำให้เกิดการสูญเสียปุ๋ย และค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นโดยปกติแล้วปุ๋ยสามารถเกิดการสูญเสียได้ 3 ทาง คือ
การระเหย
การพัดพาของน้ำ
การซึมผ่านรากเร็วไป
จากทั้ง 3 สาเหตุนี้เกิดการสูญเสียปุ๋ยประมาณ 80 % ส่วนอีก 20 % ที่เหลือถ้า ดินเป็นกรด ธาตุอาหารก็จะเปลี่ยน สภาพอยู่ในรูปที่พืชไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่เกษตรกรจำเป็นต้องเติมธาตุอาหาร ที่มีแร่ธาตุทั้ง 16 ชนิด ที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช ทำให้พืชโตเร็ว สร้างภูมิต้านทางโรคต่าง ๆ ได้นอก จากนี้ ธาตุอาหารยังมีคุณสมบัติในการปรับปรุงดิน แก้ปัญหาดินเสีย ทำให้ดินร่วนซุย และ สามารถยับยั้ง เชื้อราเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดปัญหาโรครากเน่า โคนเน่าได้ด้วย เมื่อปัญหา หมดลงจะทำให้พืชทุกชนิดโตเร็ว เพิ่มผลผลิตมากขึ้น ผลกำไรก็มากตามเช่นกัน
ธาตุซิลิกอน ( Si ) มีคุณสมบัติ
ลดการคายน้ำของพืช ช่วยให้แผนกเซลล์พืชแข็งแรง เสริมสร้างภูมิต้านทานของโรคพืช
ธาตุแคลเซียม (Ca) มีคุณสมบัติ
ช่วยส่งเสริมการนำไนโตรเจนมาใช้ประโยชน์มากขึ้น ช่วยลดหรือปรับสภาพความพอดีของฮอร์โมนพืช
ธาตุแมกนีเซียม ( Mg) มีคุณสมบัติ
ช่วยเสริมสร้างคลอโรฟิลล์
ธาตุเหล็ก ( Fe) มีคุณสมบัติ
ช่วยกระตุ้นการหายใจและการปรุงอาหาร
ธาตุสังกะสี ( Zn ) มีคุณสมบัติ
ช่วยการเจริญเติบโตของตา , ยอด ยึด ข้อ ปล้อง
ธาตุแมงกานีส ( Mn ) มีคุณสมบัติ
ช่วยสังเคราะห์แสง ควบคุมการทำงานของเหล็กและไนโตรเจน
ธาตุทองแดง ( Cu ) มีคุณสมบัติ
สร้างและป้องกันการเสียหายของคลอโรฟิลล์ ช่วยให้พืชดูดธาตุเหล็กได้ดีขึ้น
ธาตุโมลิบดีนั่ม ( Mo ) มีคุณสมบัติ
ช่วยการทำงานของไนโตรเจน ทำให้พืชสมบูรณ์มากขึ้น
ธาตุโบรอน ( B ) มีคุณสมบัติ
ช่วยกระตุ้นการสร้างคลอโรฟิลล์และน้ำย่อยบางชนิด
ธาตุซัลเฟอร์ ( S ) มีคุณสมบัติ
ช่วยในการหายใจเพื่อให้พลังงาน
ธาตุโซเดียม ( Na) มีคุณสมบัติ
ทำให้การปรุงอาหารของพืชสมบูรณ์
ธาตุซิลเวอร์ ( Ag ) มีคุณสมบัติ
ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชหนุนนำการทำงานของไนโตรเจน
ธาตุมะลูมินั่ม ( A1 ) มีคุณสมบัติ
ช่วยหนุนนำการทำงานของแมกนีเซียมและซัลเฟอร์ทำให้กระบวนการหายใจและการปรุงอาหารสมบูรณ์
หมายเหตุ
ธาตุอาหารทั้งหมดมีคุณสมบัติพิเศษมีความเป็นด่างสูง สามารถปรับความเป็นกรดของดินให้เกิดความเป็นกลางได้ และสามารถช่วยดูดซับสารเคมีให้หมดไปจากดินได้ดี แต่ถ้าหากขาดธาตุใดธาตุหนึ่งพืชจะแสดงอาการผิดปกติ ทันที เช่น ใบไหม้ ใบเหลือง ใบแก้ว ใบม้วน ใบติด ลูกร่วง ดอกหล่น ฯลฯ เป็นต้น
สังเกตอย่างไร
เมื่อพืชได้รับธาตุอาหารไม่สมดุล
ธาตุ อาหารที่จะเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชมี 19 ธาตุ แบ่งออกเป็น 2 พวก คือ
1. ธาตุอาหารที่พืชต้องการเป็นปริมาณมากแบ่งออกได้ 2 พวก คือ
ธาตุอาหารหลัก ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม ซึ่งหาซื้อได้ในรูปของปุ๋ยวางขายในท้องตลาด ทั่วไป ได้แก่ ปุ๋ยสูตรต่าง ๆ เช่น 15-15-15 เป็นต้น
ธาตุอาหารรอง ได้แก่ ซัลเฟอร์ แมกนีเซียม และแคลเซียม
2. ธาตุอาหารที่พืชต้องการเป็นปริมาณน้อยแต่จะขาดเสียมิได้ เพราะถ้าพืชได้รับไม่ เพียงพอจะทำให้ผลผลิต พืชน้อยลง มีคุณภาพไม่ดี เช่นเดียวกับการขาดธาตุอาหารหลักและรองธาตุอาหารเหล่านี้ ได้แก่ เหล็ก แมงกานีส สังกะสี ทองแดง กำมะถัน โบรอน คลอรีน โมลิบดินั่ม โคบอลท์ ซิลิกา และโซเดียม

ลักษณะอาการได้รับธาตุอาหารไม่สมดุล
**เกิดขึ้นที่ใบล่างหรือใบแก่
ไนโตรเจน อาการจะแสดงออกที่ใบล่าง โดยเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนและเหลือง ร่วงหล่นเร็วก่อนกำหนดแล้วลามขึ้นสู่ใบบน
ฟอสฟอรัส ในธัญญาพืชใบจะมีสีเขียวเข้มมีขนาดเล็กต้นแคระแกรน ส่วนพืชอื่น ๆ ใบจะขนาดเล็กสีเขียวเข้มผิดปกติ ต้นเล็กแคระแกรน
โปตัสเซียม ขอบใบเหลืองแห้งตายจากปลายใบเข้าสู่ก้านใบ แมกนีเซียม เนื้อใบเหลือง แต่เส้นกลางใบยังเขียวอยู่
แมกนีเซียม เนื้อใบเหลือง แต่เส้นกลางใบยังเขียวอยู่
** เกิดที่ใบอ่อนหรือส่วนบนของลำต้น
แคลเซียม ใบอ่อนที่ไม่คลี่ฉีกขาดหรือยอดแห้งตาย หรือฐานใบและก้านใบหักแห้งตาย
ซัลเฟอร์ ใบเหลืองเริ่มจากใบยอด พืชชงักการเจริญเติบโต
ทองแดง ใบอ่อนแห้งตายจากยอดสู่ใบล่าง ใบยอดบิดเบี้ยวรูปตัวเอส ผลและลำต้นแตกมียางไหล
แมงกานีส ใบยอด หรือใบอ่อนมีจุดสีน้ำตาล ใบบิดเบี้ยว ใบร่วงก่อนกำหนด บางครั้งใบส่วนกลางลำต้นแสดงอาการใบเหลืองแต่เส้นกลางใบเขียว
เหล็ก ใบยอดสีเหลืองซีด จนเกือบไม่มีสี
โบรอน ยอดอ่อนตายในพืชตระกูลปาล์ม ปลายใบยอดหักงอคล้ายข้อ
โมลิบดีนั่ม ในพืชตระกูลกล่ำ ใบยอดฉีกขาดเป็นช่วง ๆ เหลือแต่เส้นกลางใบ ทำให้มองคล้ายหางเสือเรือ ในพืชตระกูลถั่วใบจะเหลืองเหมือนขาดไนโตรเจน
แมงกานีส ใบล่างเป็นจุดสีน้ำตาลเข้มเล็ก ๆ เกิดขึ้นบริเวณใกล้เส้นใบ พืชบางชนิดจะแสดงอาการขาดธาตุเหล็กด้วย
อลูมิเนียม รากกุดสั้น ใบแสดงอาการคล้ายขาดฟอสฟอรัส
โซเดียม ขอบใบไหม้ และแห้งตาย
คุณสมบัติปุ๋ยเคมี ธาตุอาหารรอง - อาหารเสริม
- เพิ่มประสิทธิภาพปุ๋ยเคมี และช่วยให้ปุ๋ยเคมีออกฤทธิ์ทนนาน
- เสริมสร้างธาตุอาหารรองให้พืช เนื่องจากปุ๋ยเคมี มีเฉพาะธาตุ
หลัก N.P.K เท่านั้น
- เร่งการเจริญเติบโตของต้นพืชทำให้ต้นพืชแข็งแรง ทนต่อโรคพืช
และแมลงรบกวน
- ช่วยปรับสภาพดินให้เหมาะกับการปลูกพืชทุกชนิด และทำให้ดิน
ร่วนซุ่ย
- พืชที่ขาดธาตุอาหารรอง-เสริม จะทำให้เกิดใบหยิก ใบงอ ใบ
แห้ง ใบเหลือง ลูกร่วง ดอกหล่น ผลแตก
รสชาติไม่ดี ขั้วไม่เหนียว
ส่วนล่างของฟอร์ม

ส่วนล่างของฟอร์ม

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

การปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตสูง
การทำปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตมากมาก นั้น จำเป็นต้องมีเทคนิค น่ารู้เพื่อให้เกษตรกรได้นำไปใช้กัน
และนี้เป็น บทความที่ได้นำมาจากที่อื่น เพื่อให้ได้อ่านและลองทำตามกันดี ครับ

 ปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าว Organic fertilizer in rice fields
การปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตที่สูงๆ เรามักจำเป็นต้องมีการจัดการระบบการผลิต ข้าว ในแปลงปลูกให้ดี เริ่มจากการเตรียมแปลงปลูกข้าว ต้องเตรียมดินในแปลงนาให้มีความร่วนซุย หน้าดินลึกพอที่รากของต้นข้าวจะแผ่ลงไปหาธาตุอาหารในดินได้เต็มที่ ไม่ถูกกีดด้วยหน้าดินแข็งๆ ซึ่งรากข้าว ไม่สามารถลงไปลึกๆได้ ทำให้หาอาหารได้น้อยแล้ว ในช่วงหน้าหนาว โอกาสที่รากข้าวจะโดนอุณหภูมิต่ำๆ จากบริเวณหน้าดินทำให้ รากชะงักการเจริญเติบโต ข้าวมีรากสีดำ ซึ่งเป็นเรื่องที่อาจสร้างความเสียหายต่อการให้ผลผลิตในแปลงนาได้มากพอสมควร
 การ จัดการเพิ่มผลผลิตข้าวด้วยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าว ก็มีความจำเป็นไม่แพ้การเตรียมดินในแปลงนาข้าวของเรา ถ้าหากเราเลือกใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าวผิดชนิด เราก็อาจได้ต้นข้าว หรือตอซัง มากกว่าเมล็ดข้าวเปลือก ที่เต็มเม็ด หรือได้ฟางข้าวมากพอๆกับแกลบ เป็นที่ทราบกันดีว่าปุ๋ยอินทรีย์ที่ใช้ในนาข้าว ส่วนมากมักจะทำให้ดินร่วนซุย สามารถปรับสภาพความเป็นกรด ด่าง ในแปลงนาข้าว ทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตได้ดี แต่สิ่งที่ควรคำนึงในการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าว ก็คือวัตถุดิบที่ใช้ทำปุ๋ยอินทรีย์สำหรับใส่ในนาข้าว เพราะ ส่วนมากแล้วปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าว มักมีส่วนผสมของ ปุ๋ยคอก ประเภทมูลสัตว์ เป็นส่วนมาก ถ้าเป็นมูลสัตว์ประเภทกินหญ้าเป็นอาหาร มักจะประกอบไปด้วย ส่วนผสมที่เป็นซากพืช เมื่อเราเอามาใส่ต้นไม้ โดยเฉพาะข้าว จะทำให้ข้าวเจริญเติบโตทางลำต้นมากกว่า การให้ผลผลิต ทำให้ข้าวลำต้นสูงเกินความจำเป็นเหมือนกับเราใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0 หรือ ปุ๋ยยูเรีย นั่นเอง ดังนั้น ถ้าสามารถเลือกปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าว ได้ควรเลือกปุ๋ยที่มีสัดส่วนของมูลสัตว์ประเภทกินหัวอาหาร เช่น มูลสุกร มูลไก่ไข่ ซึ่งจะมีเศษโปรตีน เหลือทิ้งจำนวนมากในมูลสัตว์ประเภทนี้ ข้าวที่เราปลูกก็จะให้ผลผลิตเป็นเมล็ดข้าวที่มีน้ำหนัก และลำต้นไม่สูง ทำให้ไม่ล้มง่ายอีกด้วย
ดังนั้นการเลือกใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าว เราควรสอบถามถึงส่วนผสมของปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าว ให้แน่ใจเสียก่อน ยกเว้นเราต้องการปลูกข้าวเอาลำต้นข้าวเพื่อเกี่ยวฟางไว้ให้วัวควาย ก็ไม่ต้องสนใจว่าปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าว ทำมาจากอะไร ใส่ไปโลด เด้อพ่อแม่พี่น้องชาวนา
 วิธีเตรียมดินปลูกข้าว ให้ได้ผลผลิตสูงๆ
วิธีเตรียมดินปลูกข้าว How to prepare soil for planting rice. แบบใหม่ ที่สามารถเพิ่มผลผลิตข้าวได้มากกว่าไร่ละ 1000 กิโลกรัม วิธีการปลูกข้าวแบบนี้เป็นวิธีการที่เรามักทำกันอยู่แล้ว แต่สภาพของการทำนาข้าว ซึ่งส่วนมากเป็นข้าว กข. หรือข้าวนาปรัง ทำให้เรามักเร่งรีบในการเตรียมการเรื่องดิน ซึ่งทำให้เราเสียโอกาสในการสร้างความสามารถในการหาอาหารให้กับต้นข้าว เนื่องจากเรามักจะทำการเตรียมดิน หรือทำเทือก ในนาข้าว กันแบบ ลวกๆ ทำให้หน้าดินที่เราใช้หว่านข้าวไม่ลึก รากของข้าวจึงหาอาหารได้แค่ผิวหน้าดิน กินได้แต่ปุ๋ยข้าว ที่เราใส่ให้เท่านั่นธาตุอาหารในดิน รากข้าวไม่สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ข้าวของเราจึงให้ผลผลิตไม่เต็มที่
 เรามาดูวิธีการเตรียมดินในแปลงนาข้าวแบบปราณีต กัน ว่าทำอย่างไร
 การ เตรียมดินในนาก่อนหว่านข้าว หรือ ดำนา ไม่ว่าเราจะใช้รถไถนาเดินตาม หรือ รถไถนาแบบนั่งขับ แบบใช้โรตารี่ จอบหมุน เราควรทำการปรับความลึกให้ได้ความลึกของหน้าดินที่มากกว่าปกติ ถ้าเราสามารถเตรียมดินในแปลงนาข้าวในช่วงที่แปลงนาแห้งได้ก็จะเป็นการดีมาก ให้เราใช้ผาน 3 ในการไถครั้งแรก เพื่อทำการสลายหน้าดินให้ในนาให้มีความร่วนซุย หลังจากนั้นให้เราทำการหว่านปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ 15-15-15 ในอัตรา 4 ไร่ ต่อ กระสอบ พร้อมกับใส่ปุ๋ยคอกเช่นมูลไก่ไข่ มูลสุกร ให้หลีกเลี่ยงการใช้มูลจากสัตว์กินพืช เนื่องจาก มูลสัตว์กินพืชจะทำให้ต้นข้าวโตแต่ลำต้นเพียงอย่างเดียวทำให้ข้าวล้มง่าย หลังจากนั้นใช้ผาน 7 ไถอีกรอบ ก่อนไขน้ำเข้านา แล้วใช้รถไถเล็กทำเทือก เพื่อทำการหว่านแบบน้ำตรม หรือดำนาด้วยเครื่องดำนาต่อไป
 ในการเตรียม ดินในแปลงนาข้าวสิ่งสำคัญก็คือการปรับโครงสร้างของดินให้มีความลึกมากพอที่ รากของข้าวจะแผ่ขยายลงไปได้ลึกมากที่สุด และสามารถหาอาหารได้มากโดยที่เราให้อาหารเสริม หรือปุ๋ยตามปกติ
วิธีการปลูกข้าวด้วยการเน้นการเตรียมดินแบบนี้ถ้าจะให้ผลดีควรเลือกพันธุ์ ข้าวที่มีอายุประมาณ 120- 140 วัน เช่น พันธุ์ข้าวหอมประทุม ซึ่งมีลักษณะพิเศษที่แตกกอดี และมีระแง้ถี่มาก ร่วมกับการใช้เทคนิคการให้ปุ๋ยทางใบสูตร 11-0-45 ฉีดพ่นเร่งการสร้างระแง้ในรวงข้าวเมื่อข้าวอายุ 55-65 วันด้วยก็จะช่วยให้ผลผลิตข้าวของเราเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย จากประสบการณ์ในการทำนาข้าวแบบนี้ แม้ว่าเป็นนาดินทราย ข้าวก็สามารถให้ผลผลิตมากกว่า 1200 กิโลกรัม ลองเอาวิธีการปลูกข้าว แบบนี้ไปใช้ดูครับ

วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

SK 999 ไม่ต้องรอน้ำฝน
(ได้รับโล่ห์รางวัลที่1 จากประเทศจีนเมื่อ 1-4 ธันวาคม 2555)
SK 999 ปุ๋ยอินทรีย์เคมีชนิดน้ำ  นวัตกรรมใหม่ของโลกอนาคตเป็นปุ๋ยน้ำฉีดพ่นทางใบ ทำให้พืชสามารถได้กินปุ๋ยทางใบตลอดฤดูกาลตั้งแต่ปลูกจนเก็บเกี่ยว ไม่ว่าจะเป็นหน้าแล้งหรือหน้าฝน หากนำไปฉีดพ่นลงดินจะปรับสภาพดินให้มีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีเม็ดได้เกือบ 100เปอร์เซ็นต์ ลดต้นทุนได้มากอย่างเหลือเชื่ออีกทั้งยังเพิ่มผลผลิตได้มาก เพิ่มรายได้มากกว่าที่เคยทำมา(1 ขวดใช้แทนปุ๋ยเม็ดได้ 15 กระสอบ)
   หน้าแล้ง   สำหรับพืชที่ต้องการน้ำน้อย เช่น มันสำปะหลัง , อ้อย , ยางพารา ,ปาล์มน้ำมัน ไม้ผลฯลฯ  เมื่อฉีดพ่นทำให้พืชเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้หน้าแล้งพืชก็ยังแตกยอดเหมือนหน้าฝน 
โตเร็วกว่าพืชที่ไม่ได้พ่น SK 999 ลดต้นทุน ผลผลิตเพิ่มสูงขึ้น เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็วกว่า
ประมาณ2-3 สัปดาห์  ซึ่งถ้าหากใช้ปุ๋ยเม็ด พืชไม่สามารถที่จะดูดกินปุ๋ยได้
เพราะขาดน้ำที่จะมาละลายปุ๋ย
   หน้าฝน การให้ปุ๋ยทางใบเป็นวิธีการที่ดีที่สุด แทบไม่มีการสูญเสีย เมื่อเราฉีดพ่นแม้ปุ๋ยจะตกลงดิน ก็จะทำให้ดินดีร่วนซุย เพิ่มจุลินทรีย์ ให้กับดินอีกด้วย เป็นการฟื้นฟูสภาพดินให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง หากท่านหว่านปุ๋ยเคมีเม็ด เหมือนที่ท่านเคยทำมาเมื่อฝนตกลงมาก็จะพัดพาเอาปุ๋ยไปกับน้ำ พืชไม่สามารถที่จะกินปุ๋ยได้เต็มที่ไม่เหมือนกับฉีดพ่นทางใบ  
(นักวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรได้กล่าวไว้ว่า พืชจะดูดกินอาหารทางราก 30 เปอร์เซ็นต์ และกินอาหารทางใบ 70 เปอร์เซ็นต์ ) 
ตามที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าการให้อาหารทางใบควรจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
มันสำปะหลัง  อายุได้ 2 เดือน 10 วัน ฉีดพ่นด้วย SK 999
และทำการปรับปรุงดินก่อนปลูกด้วย ปุ๋ยอินทรีย
(ไม่หว่านปุ๋ยเม็ด ตลอดฤดูกาล ฉีดพ่นเดือนละครั้งเป็นเวลา 3-4 เดือน)

นาข้าว สท.หาดท่าเสา อ.เมือง จ.ชัยนาท
สวนไร่แตงโมเหลือง

วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556


SK 999 คือ ปุ๋ยน้ำอินทรีย์เคมีชนิดแรกของโลก 
เพราะปัจจุบันระบบการเกษตรของโลก ต้องพึ่งพาการใช้ปุ๋ยเคมีและสารกำจัดศัตรูพืชอย่างมหาศาล การใช้ปุ๋ยเคมีในรูปของปุ๋ยเม็ดอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทำให้ดินเสื่อมสภาพลง ผลผลิตทางการเกษตรลดลงทุกปี จึงมีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนปุ๋ยเคมี เพื่อฟื้นฟูสภาพดินให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ปุ๋ยอินทรีย์มีธาตุอาหารที่พืชต้องการต่ำและไม่ครบถ้วน ทำให้พืชเจริญเติบโตช้าและให้ผลผลิตที่ต่ำกว่าการใช้ปุ๋ยเคมี ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้ก็คือ การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีในสัดส่วน ที่เหมาะสม ซึ่งปุ๋ยที่ได้นี้เรียกว่า ?ปุ๋ยอินทรีย์เคมี? 

อย่างไรก็ตาม ปุ๋ยอินทรีย์เคมีทั้งหมดที่มีอยู่ในท้องตลาดปัจจุบัน เป็นปุ๋ยอินทรีย์เคมีชนิดเม็ด ที่มีสูตรต่าง ๆ เช่น 4-4-4 หรือ 6-3-3 เป็นต้น ขณะที่ปุ๋ยอินทรีย์เคมีชนิดน้ำยังไม่มีผู้ผลิตในปัจจุบัน 
ดังนั้น SK 999? จึงถือว่าเป็นปุ๋ยอินทรีย์เคมีชนิดน้ำ ยี่ห้อแรกของโลก
ทำไมต้องปุ๋ย SK 999?…?

? SK 999? เป็นธาตุอาหารพืช 100% ปราศจากสิ่งปลอมปนที่เป็นอันตรายต่อพืช 
เช่น คลอไรด์ และโลหะหนักอื่น ๆ

? SK 999? ประกอบด้วยธาตุอาหารหลัก (N, P, K) โดยมีปริมาณ N-P-K อย่างละ 5% ของน้ำหนักปุ๋ย (สูตร 5-5-5) นอกจากนี้ยังมีธาตุอาหารรอง (Ca, Mg, S) 
และธาตุอาหารเสริม (Fe, Zn, Cu, Mn, B, Mo, Cl) ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของพืช

? SK 999? แก้ปัญหาการขาดธาตุอาหารของพืชที่ได้ผลรวดเร็วกว่า การใช้ปุ๋ยทางดิน

? SK 999? มีประสิทธิภาพสูงมาก เมื่อฉีดพ่นทางใบ พืชสามารถดูดซับธาตุอาหารไปใช้ได้ทันทีภาย
ใน 1 นาที ซึ่งรวดเร็วกว่าการให้ปุ๋ยเม็ดทางดินที่พืชต้องใช้เวลา 7 – 30 วัน ในการดูดธาตุอาหารไปใช้

? SK 999 ? ทำให้พืชเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อฉีดพ่นทางใบ สามารถเห็นผลได้ภายใน 1 – 3 วัน 
ขึ้นกับชนิดของพืช
? SK 999 ? ช่วยเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น 50 – 100% ทั้งปริมาณและคุณภาพ นอกจากนี้ยังย่นระยะเวลาการเก็บเกี่ยวให้เร็วขึ้นกว่าปกติ 2 – 3 สัปดาห์
? SK 999 ? สามารถใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีได้ 100% ทำให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนปุ๋ยเคมีได้จำนวนมาก
คุณสมบัติพิเศษของปุ๋ย SK 999? 
นอกจากการใช้ฉีดพ่นทางใบเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของพืชแล้ว SK999 ? ยังสามารถนำไปฉีดพ่นลงดิน เพื่อปรับสภาพดินให้มีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น เนื่องจากใน SK 999? มีจุลินทรีย์ที่ช่วยในการปรับสภาพดิน และสารฟลาโวนอยด์ที่สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดินได้หลายชนิด เช่น จุลินทรีย์ที่ย่อยสลายฟอสเฟต จุลินทรีย์ที่ย่อยสลายฟางข้าว และจุลินทรีย์ที่

ตรึงไนโตรเจนจากอากาศ เป็นต้น

กระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล 

ปุ๋ย SK 999? ผลิตโดย บริษัท ไทยฟาร์เมอร์ โปรดักส์ ซัคเซส จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี และผลิตภัณฑ์สำหรับการเกษตรระดับแนวหน้าของภูมิภาคเอเชีย และได้รับการอนุญาตจากกรมวิชาการเกษตร ให้ผลิตเพื่อจำหน่ายได้อย่างถูกต้องตาม พ.ร.บ.ปุ๋ย พ.ศ.2550

ตัวอย่างคำที่ใช้ 
ที่สุดแห่งนวัตกรรม ครั้งแรกของโลกมาถึงแล้ว ปุ๋ยอินทรีย์เคมี SK 999 
ใช้ฉีดพ่นทางใบมีธาตุอาหารหลัก อาหารเสริม อาหารรองครบถ้วน
ทำให้พืชไม่ต้องเสียเวลาใช้ได้กับพืชทุกชนิด ใช้ได้กับพืชทุกชนิด
พืชแข็งแรงติดดอกออกผลสมบูรณ์ เจริญงอกงามได้ดีกว่า
อากาศหนาวอากาศร้อนยังไงก้อเมล็ดเต่งเต็มร่วงได้ผลจริง
ติดต่อสอบถามการทำเกษตรแบบอินทรีย์เคมีและวิธีปลูกข้าว
ได้ 120-150 ถัง ต่อไร่
ได้ผลจริงไม่ทิ้งเกษตรกร เกษตรกรไม่ต้องตกเป็นทาสปุ๋ยเคมีแบบ 100%
ลดร่ายจ่ายเพิ่มรายได้
ลดต้นทุนการทำนาข้าว เพิ่มผลผลิตในนาข้าวแบบยังยืนและปลอดสารพิษและชีวิต
เลิกทำนาข้าวแบบเดิมที่ใช่ต้นทุนสูงๆและปุ๋ยเคมี 100%
ติดต่อเราทำนาแบบ นวัตกรรมใหม่

ประหยัดเวลา 

ปุ๋ยอินทรีย์เคมี SK 999 ขวดเดียวเอาอยู่ทั้งรากและใบ

ติดต่อที่ ร้านเทพนิมิตการเกษตร ต.หันคา อ.หันคา จ.ชัยนาท
โทร (056-451598) และ 089-5671750
e-mail... (deenanwing4@gmail.com)